Experts' Comments & Mine

These commentaries are worth reading because of their authors' fine reputation, integrity, and patriotism.

Sunday, July 02, 2006

 

A "Powerful" figure who is above the Constitution...

คอลัมน์...ประสงค์พูด
โดย...น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
.........................

“ประสงค์-คนรู้ทัน” สับ “ทักษิณ” เละ ใช้คำพูดไม่ระมัดระวัง-ไม่บังควร-ไม่เหมาะสมที่พูดถึง “คนนอกรธน.ที่มากด้วยบารมี” เชื่อ “คนไม่มีสติ” กำลังท้าทายกับสิ่งที่อยู่สูงสุด หลังรู้ตัวเองว่า “สถานภาพ” คงไปไม่ไหวแล้ว จึงอยากแสดงว่า “อำนาจ” ของตัวเองยังมีอยู่ เตือนประชาชนอย่าหลงกลเกมเรื่องยุบ 5 พรรค โดยลืมเรื่องขับไล่ “ทักษิณ-กกต.-ระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นตัวปัญหาใหญ่มากที่สุด

วันที่ 30 มิ.ย. 2549 น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เปิดเผยถึงการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุถึง “คนนอกรัฐธรรมนูญที่มากด้วยบารมี” เข้ามาทำให้องค์กรต่างๆ ในรัฐธรรมนูญวุ่นวาย ว่า “ถือว่าฟุ้งซ่านล่ะครับ คงไม่มีใครไปบอกด้วยว่า ผู้ที่มากด้วยบารมีเป็นใคร นอกจากตัวพ.ต.ท.ทักษิณเอง ที่มีภาพหลอน ภาพลวงตาอยู่ ผมเตือนว่า พูดอย่างนี้ ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับตัวเองหนักมากยิ่งขึ้น เพราะมีเนื้อหาที่สั่งข้าราชการประจำทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พ.ต.ท.ทักษิณกำลังท้าทายกับสิ่งที่อยู่สูงสุดหรือไม่ ผมไม่อยากให้คนเข้าใจแบบนั้นเลย แต่คำพูดของเค้าไม่ระมัดระวังเลย”

น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า ช่วงระยะหลังๆ จะเห็นว่า ความไม่มีสติของพ.ต.ท.ทักษิณมีมากขึ้นๆ ทั้งนี้คงรู้ชะตากรรมตัวเองเหมือนกันว่า กำลังประสบกับอะไรในอนาคตข้างหน้า ขอบอกว่า อย่าไปใส่ใจว่า เขาพูดอะไร ตนไม่เรียกท่าน เพราะสถานภาพในความเป็นนายกรัฐมนตรี มันไม่เหมาะสมที่จะมาพูด แสดงกริยาท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เหมาะสม และไม่บังควรเช่นนี้

“ผมไม่เชื่อว่า คนอย่างนายบวรศักดิ์ (อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) และนายวิษณุ (เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี) จะไม่มีการศึกษา เขาผ่านการศึกษาระดับสูงมาแล้ว ส่วนเขาจะไปรับใช้ใคร มันก็เป็นอีกมิติหนึ่งของเขา แต่ในสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อใน 2 คนนี้ก็คือ อย่างน้อยเขามีสติสัมปชัญญะในสิ่งที่เคยทำไปในอดีตว่า ถูกต้องแค่ไหน โดยเฉพาะเสียงจากคนรอบข้าง ญาติพี่น้องและคนในจังหวัดสงขลา ที่ไม่ต้อนรับเขา ซึ่งอาจดึงสติของเขาให้กลับมาคิดได้ อาจเป็นในทำนอง “ดวงตาเห็นธรรม” ซึ่งพอแก้ไขได้ ทีนี้ใครจะไปสั่ง 2 คนนี้ให้ออกไปได้ ก็ต้องไปถาม 2 คนนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการสั่ง นอกจากเพื่อนฝูง ญาติมิตรสหายจะแนะนำ เพราะอยู่ไป 2 คนนี้ก็ต้องตายไปพร้อมกับระบอบทักษิณ”อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าว

ส่วนการกลับมาจัดรายการวิทยุใหม่อีกครั้งนั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า คนที่ไม่มีสติ และค่อนข้างจะหลงไปแล้ว ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ถ้าอันไหนทำแล้วช่วยตัวเองได้ ก็ไม่คิดหน้า-คิดหลัง เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะต่อสู้ทุกรูปแบบ จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเลวหรือผิดอย่างไร เพราะคิดว่า สู้แล้วจะได้เวลา และยืนอยู่ได้ เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำ การกลับมาจัดรายการวิทยุ ความไม่เหมาะสมมันมีด้วยประการทั้งปวง เพราะรัฐบาลนี้ก็เป็นรัฐบาลเถื่อน ดังนั้นจะทำอะไรเถื่อนๆ ก็ทำได้หมด

น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า การถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณเข้ารับตำแหน่ง 3 ข้อนั้น ตนอยากให้เขากลับไปทบทวนว่า เขาทำหรือไม่ ทำตามที่ถวายสัตย์หรือไม่ จะพูดกับใครแล้วไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่จะมาพูดกับพระเจ้าอยู่หัวแล้วไม่ทำ มันไม่ถูกต้อง ตนอยากบอกว่า คนเป็นโรคจิต จิตของตัวมักถูกตัวเองสะกดตลอดเวลา ว่า ถูกๆๆ จึงมองที่ตัวเองเป็นหลัก

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการยุบ 5 พรรคการเมืองนั้น ตนอยากเรียนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในเรื่องยุบพรรคนี้ ตนไม่อยากให้ประชาชนวิ่งไล่ตะครุบ หรือไล่ตาม ในสิ่งที่เขาโยนลงมาให้พวกเราเล่นกัน เพื่อให้ลืมและเสียเวลา กับเรื่องการ “ขับไล่ทักษิณและกกต.” หรือในเรื่องการล้มล้างระบอบทักษิณ ดังนั้นสังคมเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา ใช้พื้นที่และเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไปเล่นในเกมของเขา คนๆ นี้มักเบี่ยงเบน บิดเบือนตลอดเวลา เนื่องจากว่า เรื่องยุบพรรคมันมีข้อผิดสังเกตมาตลอด หากเรามองย้อนกลับไป ตั้งแต่ 3 กกต.ถ่วงเวลา โยกโย้ พออนุกรรมการฯบอกว่า พรรคไทยรักไทยทำผิด ก็ไม่ยอมดำเนินการใดๆ ตนคิดว่า เกมอันนี้เขาหารือกันแล้ว ว่าจะวางไว้แบบนี้ เพื่อยืดเวลา ดึงเวลา ขณะเดียวกันก็คิดว่า จะยุบไทยรักไทยได้อย่างไร เพราะพ.ต.ท.ทักษิณก็พูดตั้งแต่ยังไม่ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด แต่พูดออกมาก่อนเลย ไม่มียุบพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้กกต.ที่ไม่ชี้มูลตอนแรก ก็กลับจะมาเร่งเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ประธานสอบฯเรื่องนี้ก็บอกเองว่า ยังไม่เสร็จ แต่วันเดียวกันนั้น ก็รีบส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดทันที อาจเป็นได้ว่า เขาคิดกันแล้วว่า ถ้าหากจะยุบพรรคไทยรักไทย ก็ต้องเอาพรรคประชาธิปัตย์ติดบ่วงมาด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่า ให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองพรรคแล้ว

“ที่สำคัญ อยู่ดีๆ ก็เรียกนายพชร (ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด) เข้าไปพบ จะพูดหรือไม่พูด แต่ภาพมันออกมาไม่ดี แง่ที่ตนมองคือ เป็นการแสดงอำนาจให้เห็นว่า ข้ายังเป็นนายกฯอยู่ จะเรียกใครก็ได้ ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชามาพบ เหมือนกับที่เรียกข้าราชการระดับสูงมาพบเมื่อวานนี้ มันไม่ใช่เป็นการมอบนโยบายที่มีรัฐบาลใหม่ แต่ตัวเองเป็นแค่รัฐบาลรักษาการเท่านั้น ซึ่งข้าราชการเขาก็ทำงานของเค้าอยู่แล้ว คุณเรียกเขามาทำไม นอกจากต้องการแสดงอำนาจ และยังพูดจาในลักษณะที่ทุกคนต้อง “ฟัง” เขาคนเดียว ทำให้เข้าใจว่า ตัวเขายังมีอำนาจอยู่”น.ต.ประสงค์กล่าว

อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ตนอยากบอกว่า อย่าไปสนใจหรือหลงกลกับเกมที่เขาจะเล่น เปรียบเหมือนสายน้ำ ถ้าปลายน้ำมีความสกปรก เราจะไปแก้ไขหรือทำให้มันสะอาด ก็ต้องไปดูกันที่ต้นน้ำว่าเป็นอย่างไร กรณีก็เช่นกัน ถ้าต้นธารของการเมืองมันสกปรก ปลายธารของการเมืองที่เล่นกันมันก็สกปรก ดังนั้นต้องไปดูว่า ใครกันที่ทำให้การเมืองบ้านเรามันสกปรก ใครกันที่สร้างระบอบของตัวเองขึ้นมา สั่งคนของตัวเองเข้าไปแทรกแซงทุกหนแห่ง ทำผิดให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิด วางตัวยิ่งใหญ่ไม่เกรงใจฟ้าดิน สิ่งที่ผ่านมา “ต้นธาร” มันเป็นแบบนี้ มันสกปรกเช่นนี้ ถ้าเราไม่กำจัด ปลายน้ำก็ไม่สะอาดหรอก เวลานี้อย่าไปเสียเวลากับเรื่องว่าจะมีการยุบพรรคหรือไม่ ต้องดูว่า “ต้นเหตุ” ตอนนี้อยู่ที่ไหน เราต้องไปกำจัดต้นเหตุนั้นก่อน ความรู้สึกของผู้คนในบ้านเมือง เขาชี้นิ้วแล้วว่า “ทักษิณ-กกต.” ต้องออกไป อยากให้ประชาชนตั้งมั่นว่า สิ่งที่ตัวเองคิดสร้างความสะอาดในบ้านเมือง กำลังถูกคนเหล่านี้ทำให้หลงกลเกม

น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า เราออกมาชุมนุมเรียกร้อง “ขับไล่” เขาก็ยังไม่ยอมออก “ระบอบทักษิณ” ก็ยังอยู่ จึงอยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน ทบทวนบทเรียนว่า ทำไมถึงไม่สามารถขับไล่พวกนี้ออกไปได้ เพราะที่ผ่านมา ยุทธวิธีที่ใช้อาจจะไม่ได้ผล จึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธี เหมือนการรักษาคนไข้ ที่ใช้ยาสารพัด จนคนไข้ดื้อยา ก็เหลือทางเดียวคือ การผ่าตัด กรณีนี้ก็เช่นกัน ต้องหาวิธีใหม่มาดำเนินการจัดการให้เด็ดขาด

“การที่พ.ต.ท.ทักษิณออกมาประกาศว่า จะรักษาระบอบประชาธิปไตยด้วยชีวิต ผมมองทะลุเข้าไปในหัวใจของเขา แล้วคิดว่า ตัวเขารู้แล้วว่ามันไม่ไหว แต่เขาไม่ได้สู้เพื่อรักษาประชาธิปไตย แต่เป็นการประกาศสู้เพื่อรักษาระบอบทักษิณและตัวเขาต่างหาก เพราะระบอบทักษิณนั้น เรารู้กันอยู่ว่า ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเลย เสียงชาวบ้านว่าอย่างไร ก็ไม่เคยรับฟัง แค่ปัญหาภาคใต้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้ว บ้านเมืองเสียหายทุกวันนี้ ยิ่งปล่อยทิ้งเท่าไร มันก็จะแก้ได้ยากขึ้น แต่ยังแก้ไขได้ ต้องแก้ให้ถูกจุด ซึ่งก็คือตัวปัญหาคือตัวพ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง”น.ต.ประสงค์กล่าวทิ้งท้าย

+++++++++

ทักษิณถ่มน้ำลายรดฟ้า
โดย ดร. ปราโมทย์ นาครทรรพ
๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๙

"เฮ้ย อะไรกันโว้ย ทักษิณพล่ามอะไร" สายโทรศัพท์ผมแทบจะไหม้ หูผมแทบจะแตก หลายคนไม่เชื่อหู นี่หรือนายกรัฐมนตรี

ถ้าถือตามหลักกฎหมาย หลักรัฐธรรมนูญ หลักความชอบธรรมแบบประชาธิป ไตยที่แท้จริง ทักษิณ หาใช่นายกรัฐมนตรีไม่ เป็นผู้ฉวยโอกาสยึดอำนาจ โดยอาศัยช่องว่าง และความล้มเหลวของระบบการปกครองไทย

วิธีเจริญสมาธิ เวลาหงุดหงิดของผม คือ เขียนหรืออ่านกวีนิพนธ์ นึกถึงโคลงเก่าบทหนึ่ง จำคนแต่งไม่ได้ จำความได้ครึ่งเดียวว่า

ถ่มถุยเขฬะขึ้น นภา กาศเอย
กลับตกต้องเกศา แปดเปื้อน

เลยต้องเขียนต่อเอง สำนึกอยากให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ได้โคลงปิดท้ายตอนจบหนึ่งบท

เขาว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อตระกูล คำกล่าวของทักษิณต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำเนียบเมื่อบ่ายวันที่ 29 มิถุนายนนี้ หากไม่ถึงระดับสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี คำพูดของทักษิณมีลักษณะแบ่งได้เป็น 4 คือ (1) ถ่มน้ำลายรดฟ้า (2) ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง (3) เป็นการกระพือข่าวลือ และยุให้แตก กับ (4)ไม่เข้าใจและไม่เป็นประชาธิปไตย

สุนทรพจน์ทางการของนายกรัฐมนตรีต้องมีแบบฉบับ ชัดเจน สุภาพ เป็นผู้ดี และสร้างสรรค์จรรโลงใจ การพูดถึงปัญหา ต้องมีภูมิหลัง ข้อเท็จจริง (แบบที่ทักษิณอุตส่าห์เอามาอ้างคือ "ทิ้งแฟกต์ และ ฟิกเกอร์ ทิ้งความจริง ทิ้งตัวเลข ทิ้งการวิจัย" ) และมีบทวิเคราะห์ที่เป็นรูปธรรม พร้อมกับทางแก้ไขที่นำไปปฏิบัติได้
วิชาการต้องถูกต้องอ้างอิงได้ มิใช่ฉาบฉวยตื้นเขิน หากจะเสนอความคิดใหม่ก็ไม่ควรเพ้อเจ้อโอ้อวด ต้องถ่อมตัวและแฝงอำนาจทางศีลธรรม ไม่เหมือนหัวหน้าอั้งยี่ปิดประตูพูดกับลูกสมุน

ทักษิณเริ่มว่า "เรื่องยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะว่าหลายคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง" ยกบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 70 เรื่องหน้าที่ข้าราชการประจำมาอ้าง ความจริง เป็นการตีวัวกระทบคราด เพื่อส่งลูกต่อ

"เอาให้ชัดอีกข้อหนึ่งก็คือมาตรา 215 บอกว่ากรณีรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งอันเกิดจากการยุบสภาก็ดี หรือหมดวาระก็ดี ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เน้นรัฐธรรมนูญใช้คำว่าต้อง เพราะฉะนั้นไล่เราไม่ได้ เพราะต้องอยู่ นี่คือระบอบประชาธิปไตย"

ข้าราชการประจำต้องปฎิบัติตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว จะไม่มีความยุ่งยากอึดอัด หากฝ่ายการเมืองไม่ไปสั่งให้เขาทำผิดหรือเกินหน้าที่ เป็นต้นว่า ให้ไปเกณฑ์คนมาต่อต้านพันธมิตร ให้จัดตั้งชมรมคนรักทักษิณ หรือให้เอาเงินงบผู้ว่าฯซีอีโอไปช่วยหาเสียงวุฒิฯ

นายกรัฐมนตรีก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบบริหารราชการเช่นกัน เรื่องการ
เข้าออกและมอบหมายหน้าที่ต่างๆ ก็ด้วย ทักษิณถูกฟ้องหลายคดี ว่าทำผิดจนขาดสถานภาพไปแล้ว จึงหวาดหวั่นไม่มั่นใจ แข็งนอกอ่อนใน เลยเรียกข้าราชการมาแสดงอำนาจ ยกเอามาตรา 215 มาอ้าง ว่า ต้องอยู่ ใครมาไล่ไม่ได้

ทักษิณลืมความจริงไป 2 ข้อว่า (1) แท้ที่จริงทักษิณถูกขับไล่มาตั้งแต่ก่อนยุบสภาแล้ว และที่ทักษิณยุบสภาก็เพราะต้องการหลบหนีการขับไล่ ที่ถูกขับไล่ ก็เพราะหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบข้อกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ทุจริตและบกพร่อง และ(2) เมื่ออยู่ในตำแหน่งรักษาการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ นอกจากทักษิณจะหลบเลี่ยงการปฏิบัติหน้าที่ตาม ม. 215 ด้วยการหนีไปเที่ยวพักผ่อนและชอปปิงเมืองนอก ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี สงสัยว่ารัฐบาลรักษาการอาจจะอยู่ในตำแหน่งนานเกินควร และอาจจะขาดธรรมาภิบาลในบางเรื่องอีกด้วย

พอ บวรศักดิ์ กับ วิษณุ ลาออกไป แทนที่จะสำรวจตนเอง ทักษิณกลับอ้างว่าทั้งคู่ "มาขอลาออก ก็ยังพูดกับผมถึงเรื่องแรงจูงใจที่มีคนมาขอให้ออก" และพูดถึง "เรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" และ "หัวหน้า..ทำให้ระบบขององค์กรของตัวเองเสีย เพื่อที่จะทำตามนโยบาย ผู้ที่ร้องขอบางราย"
หากเรื่องดังกล่าวจริง ทักษิณต้องไม่พูดเป็นปริศนา และต้องจัดการกับ"เรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" มิฉะนั้นจะถือว่าทักษิณไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ มีความผิดร้ายแรง

"คนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง" จนกระทั่งปั่นป่วนไปทั้งแผ่นดิน มิใช่ใครที่ไหน ทักษิณนั่นเอง

ทักษิณและนักกฎหมายแกล้งโง่อ่านรัฐธรรมนูญไม่เข้าใจ คำว่า "ต้อง"ในมาตรา 215 ที่ทักษิณนำมากล่าวย้ำนี้เป็นเรื่องต้องควบ หรือต้องทั้งสองอย่าง คือ ต้องอยู่และต้องปฏิบัติหน้าที่ แปลว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วย และจะหนีไปไหนไม่ปฏิบัติหน้าที่ก็มิได้อีกด้วย

ความจริงใบลาและการมอบหมายหน้าที่นายกรักษาการ ขัดกับระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เขียนขึ้นอย่างกำกวมและกลับกลอก ทำให้ทักษิณขาดความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่ง หรือย้อนกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกโดยสิ้นเชิง สื่อต่างประเทศพากันฉงนว่า ออกไปแล้ว กลับเข้ามาทำงานอีก ออก ๆ เข้า ๆ ตามอำเภอใจได้อย่างไร นี่การปกครองแบบไหน

การอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งของทักษิณเกิดขึ้นตามมาตรา 215 วงเล็บ (2) คืออายุสภาผู้แทนราษฏรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฏร เพราะฉะนั้น ก็ ต้องอยู่ในเงื่อนเวลาที่จะมีการเลือกตั้งตามปกติเท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้กับกรณีที่รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง และดำเนินการเลือกตั้งโดยมิชอบ อันเป็นเหตุให้เกิดช่องว่างที่ยาวนาน เพื่อจะให้ทักษิณถือเป็นข้ออ้างที่จะอยู่รักษาการโดยไม่มีกำหนด กรณีเช่นนี้จะต้องนำมาตรา 7 มาใช้ควบกับมาตราอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อแก้ไขวิกฤตอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ทักษิณบอกว่า "การแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีก็ต้องทำตามปกติ แต่ปีนี้สำหรับผู้ที่ต้องเข้าขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี หรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จะทำให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม"

แปลว่าบทบัญญัติมาตรา 215 วรรคเดียวกันกับที่ทักษิณนำมาอ้างไม่ต้องนำมาใช้กระนั้นหรือ นั่นก็คือ "แต่ในกรณีที่พ้นตำแหน่งตาม (๒) จะใช้อำนาจแต่งตั้งหรือย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง มิได้"

ที่ทักษิณยืนยันว่า "เพราะฉะนั้นไล่เราไม่ได้ เพราะต้องอยู่ นี่คือระบอบประชาธิปไตย" มีนัย 3 อย่าง คือ (1) ทักษิณอ้างประชาธิปไตยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์กับตัวเอง (2) ทักษิณไม่แยแสประชาธิปไตยหรือข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญที่ขัดประโยชน์ของตนเอง และ (3) ทักษิณไม่เข้าใจประชาธิปไตย

ประชาชนมีสิทธิไล่รัฐบาลได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นระบบประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและอยู่ในตำแหน่งตามกำหนด เวลาที่ระบุไว้ล่วงหน้าอย่างตายตัว หรือในระบบรัฐสภาซึ่งมิได้ระบุ กำหนดเวลาล่วงหน้าไว้ตายตัว นอกจากการหมดวาระของสภาผู้แทนราษฎร วิธีไล่ให้รัฐบาลออกตามรัฐธรรมนูญและจารีตประชาธิปไตยมีอยู่มากมาย ทักษิณคงจะศึกษาไม่ถึง

นักปราชญ์และอัศวินประชาธิปไตยที่จับได้ว่าทักษิณไม่เข้าใจและไม่เป็นประชาธิปไตย คือ (1) ศาสตราจารย์ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช นายกราชบัณฑิตสภา และนักรัฐศาสตร์แนวหน้าของเมืองไทย ให้ทักษิณสอบตกความรู้เรื่องประชาธิปไตยคือได้ F (2) คุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สรุปว่า "ทักษิณไม่ใช่ผู้นำสำหรับระบอบประชาธิปไตย" ไม่เข้าใจบทบาทและไม่ให้ความสำคัญสภา
เมื่อพ้นสมัยอุทัย ทักษิณก็ส่ง โภคิน พลกุล ขึ้นเป็นประธานรัฐสภาต่อ ทำลายจารีตและมารยาทประชาธิปไตยเสียสิ้น ด้วยการลงคะแนนเสียงให้รัฐบาลและเข้าร่วมประชุมพรรคอย่างแข็งขัน ซึ่งในโลกประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนเขาทำกัน แสดงว่าผู้กำกับคือทักษิณย่อมไม่รู้มารยาทประชาธิปไตยด้วย

ตัวอย่างความคิดแอนตี้ประชาธิปไตยในคำพูดทักษิณมีอยู่มากมาย หากแพร่หลาย ประชาชนเข้าใจผิดตามไปด้วย จะเป็นอันตราย นั่นก็คือ ทักษิณบอกว่า "ประเทศไทยต้อง การเมืองน้อยๆ" "การเมืองนิ่ง" นี่คือเผด็จการ เพราะประชาธิปไตยต้องส่งเสริมให้มีการเมืองมาก การเมืองที่แข็งขันและการเมืองที่มีเสรีภาพเคลื่อนไหวทุกระดับ

ทักษิณยกตนข่มท่านว่า "วันนี้ปรากฏว่า เกิดผู้รู้ที่ไม่รู้ซะเยอะแยะ ผู้ที่เคลมว่าเป็นผู้รู้ แต่จริงๆ ก็ไม่รู้เยอะแยะ แข่งกันเสนอความคิดของตัวเอง" ที่น่าขำก็คือความรู้ผิดๆ ที่ทักษิณอ้างว่า "มีการไม่เคารพกติกา หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ไม่ ออบเซิร์ฟ รูล ออฟ ลอว์ ของหลายฝ่าย"

ทักษิณคงไม่เข้าใจว่า อำนาจประชาธิปไตย(democratic authority) นั้น มีทั้งที่เป็นอำนาจในทางลบ(negative authority) กับอำนาจในทางบวก (positive authority) อำนาจทางบวกเป็นอำนาจของประชาชนเรียกว่า democratic right หรือสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ส่วนอำนาจในทางลบ คืออำนาจของรัฐบาล(ที่กระเทือนสิทธิเสรีภาพของประชาชน) อำนาจของรัฐบาลจำเป็นจะต้องถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขต หรือพูดง่าย ๆ ว่าจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย Rule of Law หรือ Due Process of Law มิใช่ตามอำเภอใจของผู้ปกครอง นึกจะสั่งฆ่าใครก็สั่ง คำว่า Rule of Law หรือ Due Process of Law จึงเป็นคำที่ใช้กับรัฐบาลมิใช่ใช้กับประชาชน

ทักษิณว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง อ้างว่าบ้านเมืองยุ่งเพราะหลายฝ่ายไม่รู้จักหน้าที่ ก็ทักษิณนั่นแหละที่ไม่รู้จักหน้าที่ อ้างว่ายุ่งเพราะหลายฝ่ายไม่รักษากติกา ก็ทักษิณและลูกสมุนนั่นแหละไม่รักษากติกา เห็นได้ชัดขึ้น ๆ ตั้งแต่ยุบสภามาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อ้างว่ายุ่งเพราะข่าวลือ ก็ 4 พันกว่าคำของทักษิณนี่แหละ ข่าวลือเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวลือคนที่อยากเป็นนายกมาตรา 7 พูดแล้วพูดอีก มีหลักฐานอะไร บางทีก็ปล่อยจากสถานทูตเมืองนอก อ้างว่าพลเอกเปรม พลเอกสุรยุทธ พลากร สุวรรณรัฐ 3 ท่านนี้ กระสันเป็นนายกรัฐมนตรี ใครกันแน่ไม่ยอมออก แถมเมียเคยบอกเสนาะว่าต้องอยู่เต็ม 2 สมัยจึงจะปลอดภัย กลัวอะไร

แต่ที่เลวร้าย สามหาวและจ้วงจาบที่สุด ก็คือการพูดว่า "วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป" เยี่ยงนี้ระคายเคืองถึงเบื้องยุคลบาท มิใช่แค่พลเอกเปรมหรอก ทักษิณถ่มน้ำลายรดฟ้า

ลูกทั้ง 2 ของผม เกิดและโตเมืองนอก พูดไทยชัดแจ๋ว ไม่เคยมีอังกฤษคำไทยคำเหมือนทักษิณเลย แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ถ่มน้ำลายรดฟ้า คืออะไร

ถ่มน้ำลายรดฟ้า "หมายถึงการคิดร้าย หรือดูหมิ่นบุคคลที่สูงกว่า หรือเป็นที่เคารพของคนทั่วไป มักจะเกิดภัยหรือผลร้ายแก่ตนเองเสมอ การถ่มน้ำลายขึ้นไปในที่สูงเช่นฟ้า น้ำลายนั้นก็ย่อมจะย้อนตกลงมาถูกหน้าตา ของผู้ถ่มเลอะเทอะ อย่างไม่ต้องสงสัย"

สองวันนี้ ผมกินข้าวกับอดีตอธิบดีตำรวจท่านหนึ่ง คุยกันถึงตำรวจหน้าห้องนักการเมืองที่ละทิ้งหน้าที่ไปทำมาหากินจนกระทั่งได้ดี ท่านอธิบดีบอกว่า คน ๆ นี้ไม่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ใครขัดใจก็จะชนหมด เวลานี้เขาเชื่อว่าถ้าไม่สู้เขาจะต้องตาย เพราะฉะนั้น เขาตัดสินใจสู้ตาย ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมเขาก็ไม่กลัว

เราจะต้องระวังให้ดี

ถ่มน้ำลายรดฟ้า ทักษิณ
เสมหะก่อนตกดิน ถูกหน้า
ปากเหม็นห่อนราคิน ถึงเมฆ
คงจ่อมลงใต้หล้า ต่ำเตี้ยเดียรัจฉาน

+++++++++

ผู้มากด้วยบารมี
โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

พฤติกรรมของผู้เป็นนายกรัฐมนตรี ช่างดูน่าสงสาร และน่าสมเพช พอๆ กัน
กรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ เพิ่งจะมาเห็นผลในตอนนี้
ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ถึงกับวิ่งพล่าน ทำอะไรไม่ถูก ชักเข้าชักออก สาละวนอยู่กับการรักษาอำนาจของตัว
1) ถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงว่า "ขายชาติ" "ไร้จริยธรรม" "ทุจริตโดยนโยบาย" มีส่วนได้ส่วนเสียในผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของชาติ
2) เมื่อถูกสังคมกดดันหนัก เล่นแก้เกมการเมืองด้วยการยุบสภา หวังไปเลือกตั้งฟอกตัว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะฝ่ายค้านและผู้คนรู้ทัน เมื่อเอาพรรคเล็กลงแข่งขันหวังตบตา ก็กลายเป็นปัญหา ถูกฟ้องร้องยุบพรรค การเลือกตั้ง 2 เมษายน และ 23 เมษายน กลายเป็นโมฆะ ผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินหลายพันล้านบาท ถูกด่าว่า "อย่างหนา"
3) หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ เพื่อที่จะปรองดอง ไม่ให้เรือไทยรักไทยแตก สูญเสียไปกับการเลือกตั้งก็มาก หมดไปกับการจ่ายอุดหนุนให้คนมาชุมนุมก็เยอะ แล้วยังต้องมาจ่ายให้ผู้สมัคร ส.ส.อีกคนละ 2 แสน รวมกว่า 100 ล้านบาท เพียงเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้อยู่กับพรรค
4) คดีอาญา คดียุบพรรค กำลังรุมล้อม ทั้งคดีของตัว ของพรรค และของพรรคพวกในองค์กรอิสระ ซึ่งต้องช่วยดูแล หมดไปอีกไม่น้อย
5) เคยประกาศลาออก โดยเลี่ยงกฎหมายไปใช้คำว่า "ลาพักตลอดไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่" และ "ขอไม่รับตำแหน่งในสมัยถัดไป" ก็แล้ว ยังไม่ได้ผล จึงต้องสร้างละคร ให้คนเรียกร้องกลับเข้ามาทำงานใหม่ ก็ไม่ได้ผล
6) เหลียวดูคนรอบข้าง ไม่เห็นมีใครออกมาให้สัมภาษณ์ พูดจา แก้เกมเป็นมรรคเป็นผล ความน่าเชื่อถือมีแต่จะคลอนแคลน ลดต่ำลงทุกวัน มิหนำซ้ำ มือกฎหมายสองคนก็ถูกเจาะยาง ลาออก เป็นตัวอย่างการสละเรือให้กับข้าราชการและคนในพรรค
7) หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะโดนเคราะห์กรรมร่วมกับประชาธิปัตย์หรือไม่ก็ตาม การเมืองก็ถึงทางตัน ไทยรักไทยและทักษิณหมดหนทางไปแน่ๆ เมื่อถูกล้อมด้วยปัญหาไว้หมดทุกทางแล้ว
8) มีการเรียกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ระดับ 10 ขึ้นไป เพื่อให้เข้ารายงานตัว (เหมือนคณะก่อการยึดอำนาจที่ประสบปัญหา) เพื่อตรวจสอบความภักดี และต้องปลุกระดมสร้างขวัญกำลังใจให้ทำงานรับใช้ต่อไป อย่าได้คิดหนีทัพ ลาออกอย่างบวรศักดิ์และวิษณุ โดยให้ ส.ส.และคนของพรรคกระจายกำลังประชุมกับข้าราชการต่างจังหวัด
9) มีการเตรียมคำพูด (ด้วยทีมงานการตลาด) เพื่อประดิษฐ์คำที่สื่อความหมาย โดนใจ จึงเกิดขึ้น เช่น "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" "ผู้อยากเป็นนายกฯ ตามมาตรา 7" เป็นผู้ก่อความวุ่นวาย "คนเลว กติกามีไว้เลี่ยง" "ไม่บังคับใช้กฎหมาย คนพาลจะได้ดี คนดีจะมีปัญหา"
10) การแสดงออกของผู้ดำรงตำแหน่ง "รักษาการนายกฯ" อย่างรุนแรง เปิดเผย ต่อหน้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ สื่อมวลชน ในท่ามกลางสภาพปัญหาที่ทักษิณและไทยรักไทยกำลังประสบ โดยเตรียมการมาพูดอย่างเป็นระบบ มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจาก บอกถึงสภาวะที่ทักษิณรู้สึกได้ถึงความตีบตัน ไร้หนทางออก แม้จะรู้ว่าบารมีมาก แต่ถึงยกสุดท้าย ก็ต้องดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อหาทางออก
เหมือนคนใกล้ตาย ร่างกายจะฮึดสู้ ดูสดชื่นเพียงระยะหนึ่ง ก่อนจะกระตุก ดับไป
การทำเยี่ยงนี้ โบราณเขาก็ว่า เพื่อปรามไม่ให้ไพร่พลเอาใจออกห่าง ไม่ให้แตกทัพ
11) มีผู้วิเคราะห์ว่า ทักษิณได้สำรวจไพร่พล แล้วมั่นใจว่าสู้ได้ จึงประกาศศึกกับ "ผู้มากบารมี" ซึ่งนั่นก็เป็นความเห็นหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ "ผู้มากบารมี" เห็นจะมีบารมีจริง และมีบารมีมากขนาดทักษิณขยาด ไม่กล้าเอ่ยชื่อ รู้ว่าเป็นใคร รู้มานาน แต่ไม่กล้าจัดการ
สะท้อนว่า ขณะนี้ ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกฯ มีระดับความมั่นใจ ความสบายใจ และมีระดับบารมีแค่ไหน
เป็น "บารมี" จาก "ความดี" หรือ "เงินตรา"
สังคมไทยกำลังได้รับรู้ เพื่อเป็นบทเรียนอันมีค่าอีกครั้งหนึ่งว่า ระหว่าง "บารมี" ที่สะสมมายาวนาน ผู้คนไว้ใจในความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดประโยชน์ส่วนรวมก่อนส่วนตน กับ "บารมี" ของเศรษฐีใหม่ในระบบทุนนิยมสามานย์ สร้างซื้อจากเงินตรา ผู้มีวจีกรรม กายกรรม และพฤติกรรมที่โสมม หยาบช้า จาบจ้วง
อย่างไหนจะอยู่ไม่ได้ บนแผ่นดินไทย?

+++++++++

'ทักษิณ'ที่ไม่ได้เจตนา..แต่จงใจ!
โดย เปลวสีเงิน

"คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" หมายถึงใคร..? ผมได้ยินใคร-ต่อใคร รวมทั้งบรรดานักข่าวทั้งหลายทำเป็นกระเหี้ยนกระหือรือประมาณว่า
"เค้นคอถาม" เอากับเจ้าของคำพูดประโยคนั้นคือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" มาตั้งแต่เย็นวันศุกร์โน่นแล้ว
เจ้าตัวก็เอาแต่อมยิ้ม-ออกลีลา..ไม่เอา..เราไม่พูด!
ผมไปนอนอ่าน "วาทกรรม" ของท่านนายกฯ ที่มีต่อบรรดาหัวหน้าส่วนราชการทั้งหลายที่มาเสริมบารมีจนเนืองแน่นทำเนียบรัฐบาลเมื่อ ๒๙ มิถุนา.นั้นแล้ว
อ่านจบ "สามัญสำนึก" ก็ตอบด้วยตัวมันเองว่า
นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เรื่อยมาจากปี พ.ศ.๒๔๗๕ จนมาถึงขณะนี้ พ.ศ.๒๕๔๙ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ ของประเทศไทย
มีนายกรัฐมนตรีท่านนี้ "ท่านแรก และ ท่านเดียว" ที่กล้าหาญประกาศวาทกรรมอันต้องบันทึกไว้เป็น "หมายเหตุแห่งเหตุประเทศไทย" กันเลยทีเดียว
ประเทศไทยวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเมืองของ "คนไร้เดียงสา" เพราะฟังแล้วนับตั้งแต่ เจ้าพนักงานแห่งรัฐ ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมือง ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ เรื่อยลงมา
ถ้าไม่ทำเฉย เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ทำเป็นว่าข้าไม่เกี่ยวแล้วละก็ ก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาถามกันว่า
"หมายถึงใคร..หมายถึงใคร?"
เอ้า..ในเมื่อไร้เดียงสากันอย่างนี้ ผมก็ต้องหนีบขวดนมตามไปด้วย คือไม่รู้เหมือนกันว่า "ที่ท่านนายกฯ พูดหมายถึงใคร?"
แต่พออ่านพาดหัวข่าว "ไทยรัฐ" ฉบับวันอาทิตย์ พอจะเข้าสู่วัยบรรลุนิติภาวะขึ้นมาบ้าง
หัวข่าวไทยรัฐบอกอย่างนี้ครับ
"พงศ์เทพ"โต้
อย่าโยง"เปรม"
เดามั่วทำวุ่น
คำพูด"ทักษิณ"
ชี้แค่เตือนสติ
ครับ..ก็กระจ่างกันเสียทีกับประโยคอมตะของนายกฯ ทักษิณ ที่ว่า
"บุคคลซี่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากเกินไป" นั้น ท่านหมายถึงใคร?
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตผู้พิพากษาผู้เปลี่ยนเส้นทางมาสู่การเมืองด้วย "จงรักและภักดี" ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ช่วยขยายความนัยให้เป็นที่หายสงสัยกันไปแล้วครับว่า
ไม่ได้หมายถึงพลเอกเปรม..พลเอกเปรมไม่เกี่ยว!
มาดูประโยคเต็มๆ ที่นายพงศ์เทพเมตตาเพิ่มไขปัญญาให้สังคมกันก่อนที่จะคุยกันต่อ ไทยรัฐรายงานคำสัมภาษณ์ไว้ดังนี้
"สิ่งที่นายกฯ พูดไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นใคร หากใครไม่ได้ทำอย่างนั้น ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ทำให้ประชาชนสับสนอะไร การเมืองไทยนั้นต้องมีกติกา ถ้าทำตามกติกาก็ไม่มีปัญหา อย่าไปตีความอะไรกันเอาเอง"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการพูดกันว่าคนที่นายกฯ อ้างถึงคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จุดนี้เป็นห่วงว่าจะมีความเคลื่อนไหวของฝ่ายทหารหรือไม่ นายพงศ์เทพตอบย้ำว่า
"นายกฯ ไม่ได้ระบุชี่อใคร"
ก็แน่นอนตามที่นายพงศ์เทพบอกผ่านหัวข่าวนั่นแหละว่า "อย่าโยงเปรม" คือนายพงศ์เทพกำลังบอกว่า "พลเอกเปรมท่านคงไม่ได้ทำอย่างนั้น" เมื่อไม่ได้ทำ ท่านประธานองคมนตรีก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร
นี่คือตรรกะของ "อดีตผู้พิพากษา" ซึ่งมีความชำนิชำนาญในแต่ละบรรทัดกฎหมายก่อนพูด-ก่อนคิด-ก่อนทำอยู่แล้ว
แต่ที่นายพงศ์เทพใช้คำว่า "นายกฯ ไม่ได้ระบุชื่อ" อันนี้ตีความกันตามคำพูดแล้ว นายพงศ์เทพก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพลเอกเปรมไม่เกี่ยว
และก็ไม่ได้ยอมรับว่าพลเอกเปรมเกี่ยว
บอกเพียงว่า "ไม่ได้ระบุชื่อใคร" เท่านั้น
เหมือนอย่างในคำว่า "นาย ก.ไม่สุจริต" นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า "นาย ก.จะทุจริต"
พูดแบบนักกฎหมาย ด้วยภาษากฎหมายมัน "วินตึ๊บ" จับไม่ติดแบบนี้แหละ!
นายพงศ์เทพบอกผ่านหัวข่าวด้วยว่า "เดามั่วทำวุ่น" ผมเห็นด้วยพันเปอร์เซ็นต์ ที่วุ่นอยู่ตอนนี้ก็เพราะจับคำพูดท่านนายกฯ แล้วไปเดากันมั่ว โดยเจาะจงว่าหมายถึงพลเอกเปรม
ความจริงแล้ว "คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" นั้น ท่านไม่ได้หมายถึงพลเอกเปรม แต่หมายถึง "คนอื่น" ที่เหนือกว่า "พลเอกเปรม" ตะหาก
หรือไม่ก็ "ต่ำกว่า" พลเอกเปรม?!
แต่จะสูงกว่าหรือต่ำกว่าก็ตาม บุคคลผู้นั้นถูก "ล็อกสเปก" ไว้แล้วภายใต้คำจำกัดความอันเป็นคุณสมบัติว่า "มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"
คำพูด ๒๙ มิถุนา.ของนายกฯ ทักษิณ ต้องการตบให้ลงหลุมแล้วดีดกลับมากระแทกชิ่งด้วย หรือจงใจ "กระแทกชิ่ง" แล้วตบให้ลงหลุม ความสะใจในช็อตนี้ อย่างไหนจะก่อน-หลัง
ล้วนได้ความสะใจเต็มปาก-เต็มคำเหมือนกัน!
คงไม่ต้องให้เขียนแบบสอบถาม หรือจ้างสำนักไหนไปทำโพลล์ผ่าน "มหาประชาชน" ณ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ อันมืดฟ้ามัวดินจากลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เรื่อยไปจนสุดลูกหูลูกตา ณ ถนนราชดำเนิน นั้นหรอกกระมังว่า
อันคำพูดในประโยคว่า "บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" นั้น ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่า "นายกฯ พูดหมายถึงใครบ้าง?"
หรือต้องการ "กระทบชิ่ง" ไปถึงใครบ้าง?
ระดับชาวบ้าน ซึ่งอยู่ห่างไกล "ข้อมูลข่าวสารภายใน" ย่อมไม่รู้สายสนกลในลึกๆ ฟังแล้วอาจแค่รู้สึก "แปล๊บใจใน" ว่าน่าจะซ่อนอะไรอยู่ แต่ตอบตัวเองไม่ได้ชัดเจน เพราะไม่มีข้อมูลเบื้องลึกปูพื้นเป็นฐานรองรับคำพูดประโยคนี้
แต่กับบุคคลที่อยู่กับ "ข้อมูลภายใน" ฟังแล้วจะแปรเจตนาเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก
นายกฯ ทักษิณ "ประกาศสงคราม" ซึ่งหน้า!
เพราะมันเป็นประโยคที่ส่อเจตนาชัดเจน เจาะจง ตั้งใจ แบไพ่เล่น และเป็นประโยคที่.. อย่าว่าจะมีใครกล้าพูดเลยครับ
ร้อยละ ๙๙.๙๙ คิดก็ยังไม่บังอาจคิด!
ไม่ใช่แค่บรรทัด-ครึ่งบรรทัดนั่นนะครับ ถ้าไปอ่านหรือไปฟังข้อความทั้งหมดอันเป็นคำพูดของนายกฯ ทักษิณวันนั้น ไม่ต่ำกว่า ๕ ครั้ง ๕ ประเด็นที่นายกฯ "ยก" ขึ้นมาตอกย้ำกับบรรดาหัวหน้าส่วนราชการของประเทศไทย
ไม่ต้องฟังใคร ไม่ต้องเชื่อใคร
ฟังผู้นำทักษิณ เชื่อผู้นำทักษิณคนเดียว!
เมื่อคนใกล้ชิด เมื่อคนใกล้ตัว และคนที่ทำงานกฎหมายให้ท่านอย่างนายพงศ์เทพปฏิเสธแทนว่าที่นายกฯ พูดนั้น ไม่ได้หมายถึงพลเอกเปรม
แล้วใครล่ะ นอกจากประธานองคมนตรี "พลเอกเปรม" ที่ท่านเจาะจงถึงว่า "เหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากเกินไป"
ในเมื่อพลเอกเปรมไม่ใช่ แล้วยังมีใครที่ "มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญ"?
ช่วยกันหลับตา "ลำดับภาพ" ดูซิว่า ตามสเปกนั้นมีใครอีกบ้าง?
หรือนายกฯ หรือนายพงศ์เทพผู้ทำตัวเป็นตัวแทนนายกฯ บอกให้ชัดลงไปซิว่า "พูดถึงใคร" จะได้หายสงสัย และได้รู้กันไปว่า อ้อ..คน..คนนี้เอง..เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป!
สังคมจะได้ช่วยท่านวินิจฉัย และพิพากษาให้อีกแรงหนึ่ง
แต่เมื่อความจริงคลุมเครือ ถ้าสังคมไทย กระบวนการบ้านเมืองไทย ยังปล่อยให้คำพูดประโยคนี้ "แล้วก็แล้วกันไป" เหมือนหลายๆ ประโยคที่ผ่านมา มันก็ยากที่จะไม่กลายเป็นการ "สะสมเงื่อนไขสังคม" ให้ถึงจุดที่ต้องชำระสะสาง เพื่อความกระจ่างกันเองในความหมายและเจตนาของผู้พูด..เร็วขึ้น
กฎหมายในสังคมไทย กำลังกลายเป็นกฎหมาย "เลือกใช้-เลือกปฏิบัติ" น่าอดสู-ละอายโจ่งแจ้งมากขึ้น จากฝ่ายผู้ควบคุมกติกาบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงอยู่ในสถานการณ์ขณะนี้
ถ้าวันนี้ ยังมีคนพูดประโยคแบบนี้ได้แล้วยังลอยนวล
ก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีประโยค "จ้วงจาบ" และปฏิบัติการ "รุกคืบ" ออกมาเรื่อยๆ เรียกว่าเหิมน้ำหนักเพื่อกัดกร่อนเป้าหมายให้อ่อนแอ
จริงๆ แล้ว แค่เด็กอมมือฟังก็พอรู้-พอเข้าใจว่า "หมายถึงผู้ใด" เพราะทั้งประโยคที่พูดมันโล่งโจ้ง-ตรงตัว ขาดเพียงว่า "ละชื่อ" ไว้ให้เข้าใจกันเอาเอง อย่างที่นายพงศ์เทพใช้ลีลากฎหมายยียวนสังคมว่า
"ใครไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็ไม่เดือดร้อน"
แล้วจะมีใครซักกี่คนล่ะในประเทศไทย ที่จะมีคุณสมบัติอย่างที่นายกฯ ทักษิณระบุคือ "มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"
หรือว่าแค่คนอย่างนายพงศ์เทพก็สามารถยกว่า "สูง" ถึงระดับ "มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ได้?!
ต่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยซ้ำ นี่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะจัดให้อยู่ในอันดับ "มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ได้
ฉะนั้น ไม่ต้องโยง ไม่ต้องเดามั่ว อย่างที่นายพงศ์เทพบอกนั้นถูกต้องแล้ว เพราะคนที่พูดประโยคนี้ เขาใช้คำจงใจให้สังคมฟังแล้วรู้ได้ทันใดว่า..ต้องการหมายถึงใคร
โดยไม่ต้องระบุชื่อให้เสียรังวัด!
คนเป็นผู้นำนั้น โดยเฉพาะคนเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกคำพูดต้องอธิบายได้ ต้องขยายความให้ประชาชนเข้าใจได้ และคำที่อธิบายขยายความออกมานั้น จะต้องเป็นคุณแก่สังคมชาติ มิใช่พูดแล้วให้คน "ตีความ" เพื่อนำไปสู่การ "ตีกัน" ถ้าท่านเคลียร์คำพูดของท่านไม่ได้ แสดงว่าท่านจงใจหมายถึงใครเหนือขึ้นไปกว่าพลเอกเปรม!


Archives

July 2006   August 2006   September 2006  

This page is powered by Blogger. Isn't yours?